วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ความขัดแย้งคือความรู้สึกของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลตั้งแต่
2 คนขึ้นไป
ที่มีความคิดเห็นหรือความเข้าใจว่าเป้าหมายหรือผลประโยชน์ของตนเองนั้นถูกขัดขวางสกัดกั้นหรือไม่ลงรอยกัน
( Incompatible
Goal
) กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอื่น เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล องค์กร
สังคมหรือระดับประเทศในเกือบทุกหนทุกแห่งได้ใช้สันติวิธีเข้าช่วยคลี่คลายความขัดแย้งมากกว่าการใช้ความรุนแรง
เพราะการใช้ความรุนแรงก็เหมือนกับเรากำลังล่อเลี้ยงความโกรธ
ความเกลียดความทุกข์ร้อนของทุกฝ่าย สะสมเป็นพลังดันที่แรงขึ้นเรื่อยๆจนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงโต้ตอบในที่สุด
และปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนก็เช่นเดียวกัน
เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมาไม่ว่าจะ
เป็นความขัดแย้งระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง นักเรียนกับคุณครู คุณครูกับคุณครูหรือคุณครูกับผู้ปกครอง
ทางโรงเรียนมีวิธีการหรือกระบวนการคลี่คลายความขัดแย้งโดยใช้หลักการประนีประนอม
( Compromise )โดยเริ่มตั้งแต่
1.วิเคราะห์สาเหตุของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยบุคคลกลาง
(ครู, นักเรียน, ผู้ปกครอง) เป็นคนที่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้ง
2.
บุคคลกลางหรือผู้ที่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้ง เป็นผู้พูดคุยกับทั้ง 2
ฝ่ายถึงสาเหตุทีละคน เพื่อจะได้ เรียนรู้ถึงความเหมือนและความแตกต่างของความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน
3. บุคคลกลางก็จะคิดพิจารณาถึงลักษณะของข้อขัดแย้ง สาเหตุของความขัดแย้งเกิดจากอะไร
4. เมื่อทราบสาเหตุที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแล้ว ก็จะเรียกบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยพร้อมกัน โดยบุคคล
กลางจะเป็นผู้พูดชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นและผลที่จะได้รับเมื่อเกิดความขัดแย้ง
5. ให้ทั้ง 2
ฝ่ายพูดคุยปรับความเข้าใจกัน ใส่ใจรับฟังกันอย่างมีสติ อดทน ระมัดระวังเรื่องอารมณ์
ความรู้สึก หรืออาจจะเป็นการเจรจาต่อรอง
และสามารถตกลงกันได้โดยการพบกันครึ่งทาง เพื่อให้ได้
ข้อยุติของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยต้องสร้างบรรยากาศให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเองและฉันท์มิตร
นอกจากการแก้ปัญหาด้วยวิธีการประนีประนอมแล้ว
ยังมีวิธีการต่างๆมาจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยจำแนกตามพฤติกรรมเป็นสำคัญซึ่งได้แก่
1.การหลีกเลี่ยง ( Avoidance )
เป็นการหลบเลี่ยงปัญหา
พยายามให้ตนเองหนีไปจากเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาขัดแย้ง โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามที่จะนำข้อโต้แย้งมาหาตน
โดยอาจจะเปลี่ยนประเด็นการสนทนา วิธีนี้จะใช้ได้ดีสำหรับประเด็นที่ไม่ค่อยสำคัญนัก
2. การปรองดอง ( Accommodation ) เป็นวิธีการแก้ปัญหาโดยการยอมเสียสละความต้องการของตนเองเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามบรรลุความต้องการของตนเอง
ซึ่งทำให้บรรเทาความขัดแย้งได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะคู่กรณีที่ได้รับประโยชน์เกิดความพึงพอใจและยุติข้อขัดแย้ง
แต่อีกฝ่ายที่เสียประโยชน์ก็จะรอวันที่แก้แค้น
3. การแข่งขัน ( Competition ) เป็นการใช้วิธีเอาแพ้เอาชนะ
อาจจะต้องใช้อำนาจหรือแสดงความก้าวร้าวรุนแรงเมื่อมีสิ่งกีดขวางมิให้บรรลุเป้าหมาย จึงใช้วิธีการที่อาจจะต้องทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง
เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองหวังไว้
วิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งวิธีนี้ใช้ได้ผลเมื่อทั้ง 2
ฝ่ายมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเพียงเวลาสั้นๆ
และไม่มีความจำเป็นต้องรักษาสัมพันธภาพในระยะยาว
การแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการพบหน้ากัน
เจรจาและทำความตกลงร่วมกันจะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน
แต่วิธีนี้จะใช้ได้ผลเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความชำนาญของผู้เกี่ยวข้องที่จะต้องสร้างทักษะที่จำเป็นในการแก้ไขความขัดแย้ง
ดังนี้ ความสามารถในการพิจารณาลักษณะของข้อขัดแย้ง,การจำแนกประเด็นของข้อขัดแย้ง,การเริ่มต้นเจรจาแก้ไขข้อขัดแย้ง,การรับฟัง,การให้เหตุผลและใช้เหตุผล,การรู้จักปฏิกิริยาทางอารมณ์ของผู้อื่นและรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลเสียแต่อย่างเดียว หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วจะพบว่าความขัดแย้งก็มีด้านผลดีที่เป็นประโยชน์หลายด้าน
เช่น
1.ทำให้องค์กรไม่หยุดนิ่ง
2.ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะทำให้สมาชิกในกลุ่มมีความสามัคคี
เกิดความกลมเกลียวกัน
3.
ทำให้เกิดความคิดแปลกใหม่